แต่ความต้องการของตลาด เกิดจาก ความกล้า และความกลัว ของ นักลงทุน เอง
.. การติดตาม อารมณ์ ตลาด เป็นสิ่งจำเป็น ของ นักลงทุน แต่ นักลงทุน ส่วนใหญ่ ลืม ที่จะติดตาม อารมณ์ ของตนเอง .. ซึ่ง เป็น องค์ประกอบสำคัญ ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจ เป็นอย่างมาก ...
..
.. ความกล้า ที่เกิดจากความโลภ .. กล้าที่จะซื้อหุ้น ในราคาสูง .. กล้าที่จะไล่ราคา .. เหตุ เพราะเชื่อว่า หุ้นจะราคาสูงขึ้นไปอีก
.
... ความกลัว ที่เกิดจากความโลภ อีกเช่นกัน ที่ขายหุ้นออกมา .. เพราะกลัวว่าหุ้นจะลง แล้วไม่ได้กำไร .. แต่ขายแล้ว หุ้นวิ่งขึ้นไปต่อ .. ก็มานั่งเสียดาย .. ว่าไม่น่าขายออกไปอีกเลย .. บางคน กลับเข้าไปซื้อใหม่ในราคา ที่สูงขึ้น.. โดยไม่เกรงกลัว ว่าซื้อแล้วหุ้น จะลง...
.
... ความกลัว ที่ไม่กล้าขายหุ้น เพราะกลัวขาดทุน หุ้นยิ่งลง ก็ยิ่ง ขาดทุน หนักขึ้น ... คราวนี้ ยิ่งไม่กล้าขายเลย ... เกิดอาการ Freeze .. หาเหตุผลต่างๆ นานา มาปลอบใจตนเอง ว่าถือหุ้นไว้ก็ได้ .... ใจจริงๆ แล้ว ถือได้จริง หรือว่า ทำใจให้ถือได้มากกว่า.... ^-^
..
.. ปัญหา คือ นักลุงทุน ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว ควรจะกล้าซื้อ กล้าขาย ตอนไหน .. กลัวที่จะซื้อ ตรงไหน..
..
.
. การหาหลักยึด ที่จะเป็นเครื่องมือใน การเตือน สตินักลงทุน จึงจำเป็นมาก
นักลงทุน เน้นพื้นฐาน อาจใช้ การดูผลประกอบการ , ภาพรวมเศรษฐกิจ , Financial Ratio เช่น P/E, P/Bv, ROE, ฯลฯ ในการเตือนสติ ถึงมูลค่า ของหุ้นนั้นๆ มัน คุ้มค่า ที่จะ ลงทุน หรือไม่
แต่แน่นอนว่า หุ้นบางตัว ถึงราคาจะเกินมูลค่าไป มากแล้ว แต่ราคามันก็ยังสามารถวิ่งขึ้นได้อย่างบ้าคลั่ง
..
. ทำไม ถึงเป็นอย่างนั้น ...
.
. เมื่อเกิดการลากราคาขึ้น จะเกินมูลค่ากิจการไปมากๆ อย่างนั้น จะด้วยหุ้นนั้น มันดีจริงๆ จนใครๆ ก็พูดถึง ทุกค่ายเชียร์กันหมด ทำให้ความอยากได้หุ้นของนักลงทุนท่วมท้น หรือหุ้นนั้น มีใครมาช่วยลากขึ้น ก็แล้วแต่ ... ในเมื่อมันวิ่งขึ้นมาอย่างแรง แล้ว .. จะมีนักลงทุน ที่ซื้อ และไม่ซื้อ ...ก็ด้วยความกลัว และความกล้า ที่แตกต่างกัน...
.. มันต้องกล้า ก่อนคนอื่นกล้า ... ต้องกลัวก่อนคนอื่นกลัว
.. หุ้นพื้นฐานดีๆ ดีดขึ้นได้แรง ..อย่ากลัว ..อย่าไปงง ใส่ไปเลย .. ตั้ง cut loss เอาไว้ ผิดทางก็ขายทิ้ง
ถูกทางก็ปล่อยมันวิ่งไป ...
.. แต่ส่วนใหญ่ ไม่อย่างนั้น พอหุ้น ดีดแรง .. ก็นั่งมึน.. ไปถามใครต่อใคร ว่า ทำไมหุ้นขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อ..
มาซื้อ อีกที ก็วิ่งไป อีก ไกลแล้ว กลายเป็นซื้อได้ทุนสูงไป..
.. แต่ถ้า หุ้นอะไร ก็ไม่รู้ นิ่งๆ มาตั้งนาน จู่ๆ ก็วิ่ง อันนี้ น่ากลัว.. แต่กลายเป็นว่า หุ้นพวกนี้ ราคามันไม่สูงไง พอวิ่งพรวดๆ ... กลายเป็นจุดพลุเรียก แมงเม่า.. มากันเต็ม ซื้อกันใหญ่ ทำไม๊ มันถึงเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้ ... สุดท้าย ติดดอย อดตาย เลือดสาด เกลื่อน ... เป็นกันซะอย่างนั้น
.
.
นักลงทุนที่ใช้เทคนิคคอล จะใช้การดูกราฟประกอบการตัดสินใจ ซึ่งก็ดูน่าจะดี ที่มีเครื่องมือ คอยส่งสัญญาณเตือนสติ ในการเทรด.. ไม่ว่าจะเป็น EMA เส้นค่าเฉลี่ย , MACD , Stochastics , RSI, etc. อีกหลายอย่างเลย ที่สามารถใช้ได้ดี ...
..
แต่บางที การใช้ เครื่องมือที่ มากเกินไป หรือ ไม่ได้รู้พฤติกรรมของเครื่องมือเหล่านี้อย่างดี ก็โดนเครื่องมือหลอกเอา ..หรือเจอสัญญาณจากเครื่องมือตีกันจนหัวหมุน ไป
หรือ ดูแต่ กราฟ ภาพเล็ก จนลืมดู ภาพใหญ่ ทำให้หลงทาง ไปได้
.
.. การที่นักลงทุนแนวเทคนิคคอล จะใช้เครื่องมือใดในการเทรด จึงควรศึกษาทำความเข้าใจ กับเครื่องมือ หรือระบบ ที่ตนเองใช้ อย่างถ่องแท้ .. อย่าเอาแต่ฟังคนอื่นเขา ว่า มา ว่าใช้แบบนั้น แบบนี้ แล้ว มันดี
มันอาจจะดี สำหรับคนที่พูด แต่ คนที่ฟังเขามา แล้วเอาไปใช้เอง มันอาจจะไม่เหมาะ ก็ได้
.
เพราะ วิธีใช้ เครื่องมือ หรือระบบเทรด ของแต่ละคน มันก็เหมาะกับคนแต่ละคน แต่ไม่อาจจะเหมาะกับ คนทุกคน.. ดังนั้น นักลงทุนแนวเทคนิคคอล จึงจำเป็น ต้องหาสิ่งที่เหมาะกับตนเอง พัฒนาระบบเทรดของตนเอง และ มีวินัย ที่จะยึดมั่นกับสิ่งทีเหมาะกับ พฤติกรรมของตนเอง...
.. ถึงเวลาสัญญาณ ซื้อ ก็ซื้อ อย่าไปลังเล ... ก่อนซื้อ วางจุดขายทิ้ง ถ้าผิดทางไว้ก่อนส่งคำสั่งซื้อ
สัญญาณมาให้ขาย .. ก็ต้องขาย จะลังเล เสียดาย กลัวขายแล้วขึ้นต่อ ไม่ได้ .. ขายเป็นขาย..
ขายเสร็จ พอเพียงในกำไร ที่ได้รับ...
.
. ถ้าระบบมันให้สัญญาณ เร็วไป หรือช้าไป ก็ไปปรับที่ระบบ เพื่อ เทรดให้ดีขึ้นในรอหน้า แต่อย่าไปกังวลกับ รอบที่พลาดไปแล้ว ..
.. สุดท้าย .. ราคาหุ้น ก็ยังขึ้นลงตาม ความต้องการ ความโลภ ความกลัว ของ คนในตลาด .. นักลงทุน ยังต้องติดตามอารมณ์ตนเองให้เท่าทัน .. ตั้งสติให้มั่น อย่าให้อารมณ์ตลาด ชักนำให้สติ หลุดไปจากแนวของตนเอง
ปุกปุย
บทความแนะนำ
.
.
.Next --> : เหลียวหลังแล SET 1 ปี .. แล้วต่อไป ยังไง
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบทความและคลิปเทคนิคดีๆที่นำมาแบ่งปันค่ะ
ตอบลบเข้ามาอ่านหลายๆครั้งแล้วแต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็น ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาได้สักพักค่ะ กำลังปรับปรุงแนวทางการลงทุนของตัวเองไปเรื่อยๆเพื่อหาจุดเหมาะสมค่ะ
ประมาณเดือนกรกฏา ไม่มีเวลาได้ติดตามข่าวสารเลย ก็ใช้กราฟเทคนิคอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้น พบว่าช่วงเวลานั้นกลับเป็นช่วงที่ตัวเองมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่า การที่เราไม่ได้รับรู้ข่าวสารเลยอาจทำให้เราตัดสินใจตามกราฟได้ง่ายขึ้นโดยปราศจากอารมณกลัวหรือกล้าจากข่าวสารรอบๆตัวเรา หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่เราเข้าซื้อในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น จึงจับสัญญาณซื้อ/ขายได้ถูกเท่านั้น ยังไม่มีบทสรุปให้กับตัวเอง ก็ต้องฝึกฝนและปรับปรุงต่อไปค่ะ
ด้วยความยินดีครับ
ตอบลบอ่านแล้ว ทำให้เข้าใจความแตกต่างของ Investor กับ Speculator คะ แต่บางครั้งตอนเข้าไปดูราคาซื้อขายและVolume ก็ถูกอารมณ์ตลาดพาไปเหมือนกันนะคะ
ตอบลบขอบคุณมากที่มี blog ดีๆ ที่ให้ความรู้และหลักการตั้งและเตือนสติคะ
เป็นหมดทุกอารมณ์เลยครับ แต่ตอนนี้หนักไปทางกลัว
ตอบลบ