ในวัยเด็กของพวกเรา มักจะถูกสอนกันมาเสมอ ให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้น้อยกว่ารายได้ เหลือให้เก็บออม ให้ขยันตั้งใจเรียนให้เก่งๆ จะได้มีงานทำดีๆ มีฐานะมั่นคง ... แต่ในโลกของความเป็นจริงมันเป็นเช่นนั้นจริง หรือ ...
คนเรียนเก่งมากมาย ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในการทำงานจริง ในขณะที่บางคนที่มีผลการเรียนแบบไบนารี่ (ได้แต่เกรด 0 กับ 1... ) กลับประสบความสำเร็จได้เป็นเจ้าของกิจการ เหล่านี้ก็มีให้พบเห็นกันมากมาย
ในโรงเรียนไม่เคยสอนเรื่องการลงทุนอย่างถูกต้อง มีแต่สอนเรื่องของการเก็บออม เครื่องมือในการออมอย่างแรกที่พวกเรารู้จักกัน คือ กระปุกออมสิน สถาบันการเงินที่เรารู้จัก ในการฝากเงินมีเพียงธนาคารพาณิชย์ ส่วนเวลาจะถอนเงินก็ไปที่ตู้ ATM หรือไม่ก็ไปโรงรับจำนำ และดอกเบี้ย ก็เป็นผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวที่เรารู้จักกัน
เราถูกสอนให้เอาเงินเก็บออมไปฝากธนาคาร เพื่อรับผลตอบแทนเป็น ดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายทั้งฝากออมทรัพย์ ฝากประจำ ฝากไม่ประจำ มีดอกเบี้ยหลากหลายอัตราให้เลือก ตั้งแต่ 0.75% ไปจนถึง 3.5%ต่อปี
(อ้างอิงจากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเว็บไซท์ธนาคารแห่งประเทศไทย มิถุนายน 2555 www.bot.ot.th > สถิติ > สถิติตลาดการเงิน > อัตราดอกเบี้ย ...)
อัตราดอกเบี้ย 3.5%ต่อปี หมายความว่า เงินฝากของเรา 1 ล้านบาท ธนาคารจะให้ ดอกเบี้ย ปีละ 1 ครั้ง เป็นเงิน 35,000 บาท ก็ดูเป็นค่าขนม ที่ไม่เลวเลย สำหรับการเอาเงินวางไว้เฉยๆ แล้วได้ผลตอบแทนโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร ... บางคนถึงกับบอกว่า นี่ไงใช้เงินทำงาน ... ผิดแล้วคนที่คิดอย่างนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะคงจะลืมไปว่าง เงินมันด้อยค่าไปตามกาลเวลา ในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อ มันเพิ่มขึ้น 4 – 5% ต่อปี ก็หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยที่ได้ เพียง 3.5%ต่อปี มันเป็นผลตอบแทนที่ตามไม่ทันการด้อยค่าของเงินต้นที่ฝากไว้ในธนาคาร หากปล่อยไว้อย่างนั้น เงินเก็บของเราก็เสื่อมค่าลดลงทุกปี
หลายคนที่เข้าใจประเด็นนี้แล้ว ก็จะพยายามมองหาอย่างอื่นที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่านี้ อย่างน้อยก็สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ จึงได้เกิดคำใหม่ขึ้นมาในการลงทุน “ออมในหุ้น” ด้วยวิธีการเดียวกับการออมเงินเก็บไว้ในธนาคาร ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เอาเงินจำนวนนั้นไปฝากไว้กับบริษัท ด้วยการซื้อหุ้นของบริษัท เพื่อรับผลตอบแทนเป็น เงินปันผล ซึ่งให้อัตราเงินปันผลต่อราคาหุ้น (%Dividend) ที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ในมุมมองอย่างนี้ ก็คงไม่แตกต่างไปจากวิธีการเดิม เวลาที่เราจะฝากเงิน เราก็จะดูความมั่นคงของธนาคาร ประเภทเงินฝากแบบไหน และดอกเบี้ยที่ได้รับเป็นเท่าไร พอจะมาออมในหุ้นเราก็ดู ความมั่นคงของบริษัทฯ กิจการจะเติบโตหรือไม่ การคาดการณ์ผลการดำเนินงาน และความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น แน่นอนว่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทมหาชนจดทะเบียนอยู่มากมาย และมีจำนวนไม่น้อยเลยที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญมีหลายแห่งเลยที่จ่ายมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และจ่ายมากกว่า 1 ครั้งต่อปีด้วย บางแห่งเงินปันผล 7 – 8% ต่อปี หมายความว่า ถ้าเราเอาเงิน 1 ล้านบาท ออกจากธนาคาร มาซื้อหุ้นบริษัทฯ ที่ให้เงินปันผลสม่ำเสมอ 7% ต่อปี เรากะจะได้ผลตอบแทน ถึง 70,000 บาทต่อปี ...เอ่อ... ได้มากกว่าดอกเบี้ยเท่าตัวเลยนะนั่น ...
ออมในหุ้น แนวนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจดีไหมล่ะ ... อ๊ะๆๆ !!! แต่ถ้าคิดจะออมในหุ้น คิดแค่นี้เลยนะ อย่าไปคิดถึงราคาหุ้นเลยนะ การเติบโตของกิจการ การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น ต้องคิดว่าเป็นเรื่องรอง คิดว่ามันเป็นของแถม ถ้าเอามาคิดปนกันเมื่อไหร่ ความโลภจะครอบงำ จิตใจโดนลากไปมองราคาหุ้นสูง – ต่ำ ราคาแพง – ถูก ขายได้ราคาสูงกว่าทุนได้กำไรมหาศาล .... สติหลุดลอยจากการ ออมในหุ้น เข้าสู่การเก็งกำไรราคาหุ้น หลุดกรอบ ลืมจุดประสงค์ในการลงทุนไปเลย
ตั้งสติให้ดี ถอยกลับมาถามตนเองก่อน เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยจุดประสงค์อะไร ... มีคนจำนวนมากที่พยายามเรียกตัวเองว่า “นักลงทุน” แต่ไม่เคยรู้ตัวเองเลย ว่าเอาเงินมาทำอะไรในตลาดหุ้น ... รู้แต่ว่าอยากรวย อยากได้เงินเพิ่มขึ้น ... คิดแบบนี้ผิดแล้ว มันพลาดตั้งแต่เริ่มแล้ว
ตั้งคำถาม กับตนเองให้ดี อะไร คือ ผลตอบแทนที่เราต้องการจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มันมีหนทางเลือกเพียง 2 สายเท่านั้น ทางแรก คือ เงินปันผล อีกทางหนึ่ง คือ ส่วนต่างของราคาหุ้น เราต้องชัดเจนในการลงทุนว่าเราต้องการอะไรกันแน่ เมื่อเลือกแล้วต้องยึดมั่นในเส้นทางของผลตอบแทนที่เราเลือก ผลตอบแทนอีกด้านจะเป็นเพียงของแถม หรือผลพลอยได้เท่านั้น
ถ้าจะ ออมในหุ้น ต้องยึดมั่นในผลตอบแทนจาก เงินปันผล ต้นทุนของเราคือราคาหุ้นที่เราซื้อ ไม่ใช่ราคาหุ้นในขณะนั้น อย่าเอาราคาหุ้นในตลาด มารบกวนจิตใจ เพราะเงินที่เราซื้อหุ้น มันยังอยู่ครบเท่าเดิม ตราบเท่าที่เรายังไม่ขาย เหมือนกับเงินฝากที่อยู่ในบัญชีธนาคาร กำไร หรือขาดทุนของราคาหุ้นที่แสดงอยู่มันเป็นสิ่งลวงตา ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า Unrealized Profit/Loss มันยังไม่เป็นจริง แต่นักลงทุนที่จิตใจสับสน สติหลุด มักจะร้อนลน ถูกลวงให้กลัว ให้สั่งขายออกไป ทำให้กลายเป็น Realized Profit/Loss จริงๆ ถ้ามันกำไร ก็ดีไป แต่ถ้าขาดทุน เงินต้นหาย คงจะไม่ดีแน่ๆ
การออมในหุ้น จึงไม่ต่างจากการเปิดบัญชีเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนสูง เราจะย้ายเงินจากบัญชีเงินฝากหนึ่งไปไว้อีกบัญชีหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมันให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า เฉกเช่นเดียวกัน การออมในหุ้นเราก็จะขายหุ้นบริษัทฯ หนึ่งไป ซื้อหุ้นอีกบริษัทฯ หนึ่งก็ต่อเมื่อเราต้องการเอาเงินไปที่ใหม่ที่ให้เงินปันผลสูงกว่า การพิจารณาราคาหุ้น ก็เป็นเพียงการพิจารณาการซื้อหรือขาย ในจังหวะ ที่ราคาเหมาะสมที่สุด ก็คือ ไม่ขาดทุนจนเงินต้น มันหดหายไป ดังนั้นการลงทุนในแนวทางนี้ เน้นที่ผลตอบแทนเงินปันผลสูง และความมั่นคงแข็งแรงของกิจการที่สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราเลือกกิจการเป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถซื้อ แล้วถือรับเงินปันผลไป พร้อมกับท่องไว้
“ไม่ขาย ไม่ขาดทุน.. โว้ย!!”
.
.Pook Pui
.<--- Previous : รวบรวม Thomas Demark 's Technics
----> Next : .ความเสี่ยงจำกัด... ผลตอบแทนไม่จำกัด
.